เข้าช่วงปีใหม่แล้ว หลายๆ คนก็คงมองว่าจะให้ปีนี้เป็นปีที่จะได้มีการเปลี่ยนแปลงกับตัวเองบ้าง หนึ่งในสิ่งที่เรามักพูดกันบ่อยๆ คือ “อยากเก่งขึ้น” “อยากรู้มากกว่า” เพื่อจะได้เป็นบันไดสู่ความสำเร็จได้ ผมเลยลองสรุปๆ แนวคิดส่วนตัวบางอย่างเป็นลิสต์สิ่งที่นักการตลาดดิจิทัลควรทำกันว่ามีอะไรบ้าง และน่าจะเป็นสิ่งที่เราเริ่มทำกันได้ตั้งแต่ต้นปี 2014 นี้เลยนะครับ

1. สร้าง Own (Social) Media ของตัวเอง

เราอยู่ในยุคของ Social Media แล้ว คงไม่ต้องพูดกันมากเรื่องของการสร้าง Own Media ที่ปัจจุบันกลายเป็นเรื่องที่เห็นกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นบล็อกเกอร์ (ที่คุณกำลังอ่านอยู่ก็ใช่) การสร้าง Facebook Page การทำ Pinterest Board และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราพูดกันมาสักพักจนเรื่องเหล่านี้เข้าสู่ระดับ Critical Mass แล้ว

แต่เชื่อหรือไม่ครับว่าเวลาผมไปบรรยายให้นักการตลาดออนไลน์ (รวมทั้งนักการตลาดปรกติด้วย) กลับมีคนจำนวนมากที่ยังไม่เคยมี Facebook Page ของตัวเอง ไม่เคยเขียนบล็อก บ้างก็ยังไม่มี Twitter Account เลยด้วยซ้ำ

ผมมักพูดเสมอว่าถ้าคุณจะเป็นนักการตลาดดิจิทัลที่เก่ง (แม้ว่าผมจะไม่เคยเรียนการตลาดมาเลยก็เหอะ) มันจำเป็นมากที่คุณจะต้องเข้าใจและรู้จักดิจิทัลอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่รู้จักจากการอ่านหรือฟังๆ เขามาเฉยๆ ผมมักมีคำถามกับทีมงานที่ออฟฟิศบ่อยๆ ว่าเราจะไปบริหาร Facebook Page คนอื่นกันได้ยังไงถ้าเรายังไม่เคยเปิด Facebook Page ของตัวเอง ไม่เคยเล่นและเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร มีกลไกอย่างไร

เชื่อผมเถอะว่าการบริหาร Own Media จะให้ความรู้สึกของการทำงานต่างจากการที่คุณดูแลให้กับแบรนด์หรือลูกค้าของคุณพอสมควร มันจะทำให้คุณเห็นแง่มุมมากมายว่าทำอย่างไรที่เวิร์คและไม่เวิร์ค คุณจะฝึกกระบวนการคิดคอนเทนต์ต่างไปจากเดิม (เหมือนที่ผมฝึกทุกวันกับการเขียนบล็อกนี้และอีกหลายๆ บล็อกของผม)

นอกจากนี้แล้ว มันน่าจะถึงเวลาที่คุณซี่งขึ้นชื่อว่าเป็นนักการตลาดดิจิทัลจะสร้างเวทีให้ตัวคุณได้มีโอกาสแสดงฝีมือให้คนอื่นเห็นแล้วด้วย

หมายเหตุ: ถ้าคุณมีแล้วแต่ไม่ได้อัพเดทเลยมาหลายเดือน อันนั้นก็ไม่นับนะครับ ^^”

2. ลองใช้ Social Media อื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวเดิมๆ เช่นเดียวกับแอพใหม่ๆ 

เวลาเราพูดถึง Social Media คนก็มักพูดถึงแต่ Facebook Twitter Youtube Instagram กัน คำถามที่ผมมักถามตอนไปบรรยายเรื่อง Social Media คือคุณมี Social Media อยู่กี่อย่าง?

คนส่วนมากมักตอบอยู่ราวๆ 6-7 อย่าง อันได้แก่ Facebook Twitter Instagram YouTube LINE Whatsapp Pinterest

ส่วนผม เฉพาะใน iPhone ของผมนั้น ผมมีแอพ Social Media 40 แอพครับ!!!

photo 1 photo 2 photo 3 photo 4

ฟังเหมือนเรื่องตลก แต่เพราะการที่ผมทำ DigiLife ทำให้ผมมีโอกาสได้ลองเล่น Social Media ใหม่ๆ อยู่แทบทุกอาทิตย์ ซึ่งแต่ละ Social Media ก็จะมีเอกลักษณ์ของมัน มีคอนเทนต์เฉพาะที่แตกต่างออกไป สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมได้เข้าใจมิติของ Social Media ที่มากกว่า Facebook Twitter แถมยังเห็นพฤติกรรมและเงื่อนไขของผู้ใช้งานที่แตกต่างกันออกไปด้วย

นั่นยังไม่รวมกับบรรดาแอพต่างๆ ที่ผมโหลดใส่ iPhone / iPad / LG G2 ของผมอีกหลายร้อยแอพ (ไม่ได้อ่านผิดครับ หลายร้อย!! ทุกอาทิตย์ผมจะโหลดแอพใหม่ๆ อย่างน้อย 8 แอพตั้งแต่ทำ DigiLife มาตอนนี้ก็เกิน 100 อาทิตย์แล้ว)

หลายคนอาจจะมองว่าเรื่องพวกนี้มันไร้สาระหรือฟุ่มเฟือย แต่ผมมองว่าการได้ลองเล่นแอพเหล่านี้ทำให้เราเห็นข้อดีข้อเสียของแอพต่างๆ มากมาย ได้รู้ว่าแอพที่ดีเขาดีไซน์กันอย่างไร บางแอพเนื้อหาดีแต่มีปัญหาเรื่องการนำเสนอ หรือเงื่อนไขบางอย่างที่ไม่เวิร์ค

ซึ่งพอคุณเล่นมากไปเรื่อยๆ แล้ว ถึงจุดหนึ่งคุณจะมองได้อย่างรวดเร็วว่าจุดแข็งและจุดอ่อนของแอพเหล่านี้คืออะไร ทำไมมันถึงดัง และอะไรคือเหตุผลที่มันจะแป๊ก

และนั่นคือมุมมองที่จะไปช่วยการตลาดคุณอย่างไรล่ะครับ

3. ลอง Technology ใหม่ๆ ถ้ามีโอกาส

เทรนด์เทคโนโลยีล้วนบอกกันไปในทางเดียวกันว่า Wearable Device มาแน่ๆ แล้วนักการตลาดรวมทั้งบล็อกเกอร์ก็พากันพูดเหมือนกัน แน่นอนว่าอุปกรณ์สุดไฮเทคอย่าง Google Glass Smart Watch อย่าง Pebble หรือพวก Tracking อย่าง Jawbone Up เป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจ

แต่เคยได้ลองกันหรือยังครับ?

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมพูดเช่นเดียวกับสองข้อแรก คือมันมีความต่างกันระหว่างคุณรู้ว่ามันคืออะไร กับคุณได้สัมผัสประสบการณ์กับมันด้วยตัวเองเพื่อจะรู้ว่ามันเป็นอะไร คนประเภทหลังจะเข้าใจพฤติกรรมการใช้งาน รวมทั้งมองเห็นโอกาสได้ต่างจากคนประเภทแรกอยู่พอสมควร ฉะนั้นแล้ว ถ้ามีโอกาส ลองหาซื้อหรือได้ลองใช้อุปกรณ์เหล่านี้ดูครับ แล้วคุณจะได้เข้าใจว่า Wearable Technology ที่ว่าคืออะไรกัน

นั่นยังไม่รวมพวกเทคโนโลยีล้ำๆ อย่างพวก Motion Control เช่น LEAP Motion ที่สร้างความฮือฮาอยู่พอสมควร (แต่ทุกวันนี้หลายคนก็ยังไม่เคยเล่นทั้งที่ราคาจำหน่ายไม่ได้แพง แถมสั่งซื้อง่ายอีกต่างหาก)

907179_10151323771111161_1653552812_n 911615_10151363655371161_2141365013_n 1081385_10151512762951161_1005525265_n

นอกจากนี้แล้ว มันจำเป็นมากที่คุณต้องลองประสบการณ์ดิจิทัลอื่นๆ ด้วย อย่างเช่นการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านเว็บพวก eBay Amazon หรือไปลองระดมทุนใน Kickstarter เป็นต้น เพราะนั่นคือเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคดิจิทัลในอนาคต

พอจบปี 2014 แล้วอย่ามาบอกกันนะครับว่ายังไม่ได้ลองเลยสักอย่าง

4. ทำ Reading List สำหรับหนังสือหรือบล็อกการตลาดซะ

หนึ่งในพฤติกรรมที่ผมเชื่อว่าทำให้ผมประสบความสำเร็จในวันนี้ได้คือการอ่าน (ต้องขอบคุณแม่ที่ปลูกฝังนิสัยนี้ตั้งแต่เด็ก) ซึ่งคงไม่ต้องอธิบายกันเยอะว่าการอ่านให้ประโยชน์อะไรกับเราบ้าง แต่ก็น่าแปลกเช่นกันที่นักการตลาดจำนวนมากไม่ได้สนใจจะอ่านและเพิ่มเติมความรู้ให้ตัวเองเสียเท่าไร

ทุกวันนี้ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับการตลาดดิจิทัลหรือเรื่องที่เกี่ยวโยงกันอย่างการให้บริการลูกค้า พฤติกรรมลูกค้ายุคใหม่ ฯลน โดยเฉลี่ยอาทิตย์ล่ะเล่ม

นั่นเฉพาะหนังสือนะครับ ไม่นับบรรดา Marketing Blog ต่างประเทศที่ผมจะใช้เวลาอ่านช่วงเช้าประมาณ 30-40 บล็อกเป็นอย่างน้อยต่อวัน

ที่ผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเพราะผมเชื่อว่าการตลาดดิจิทัลเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่และมีการพัฒนาตัวเองตลอดเวลา หนังสือตำราเก่าๆ ที่เราอ่านกันมานั้นหลายเล่มแทบจะต้องรื้อทฤษฏีกันใหม่ หนังสือเล่มใหม่ๆ ที่ออกมาก็เป็นการเขียนแนวคิดที่บ้างก็หักล้างวิธีคิดเดิมๆ ไปเลยก็มี ฉะนั้นแล้ว มันจำเป็นมากที่คุณจะต้องเปิดมุมมองความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ เข้าไป

หลายคนอาจจะถามว่าอ่านบล็อกแล้วพอไหม? ผมให้ความเห็นว่าพอ ถ้าคุณอ่านบล็อกจากหลากหลาย Source และในปริมาณที่ “มากจริงๆ”

ทั้งนี้เพราะหนังสือมีความต่างจากบล็อกพอสมควร หนังสือมีการขัดเกลาและลับความคิดมามากระดับหนึ่งก่อนที่จะตีพิมพ์ (การเขียนหนังสือหนามากกว่าร้อยหน้านั้นต้องใช้ความพยายามและการตกผลึกทางความคิดมากกว่าเขียนบล็อกความยาว 1 หน้า A4 เยอะมาก) ฉะนั้น การอ่านหนังสือการตลาดเล่มใหม่ๆ จะเป็นการปูความคิดที่ผ่านการคัดกรองมาแล้วพอสมควร

ส่วนตัวผมแล้ว ผมจะมีการทำ Reading List ทั้ง Daily (Blog) / Weekly (Book) / Monthly (Book / Report) ซึ่งจะพยายามเคร่งครัดให้ได้ครบหมด (โดยปรกติจะทำได้ประมาณ 80%)

ถ้าคุณไม่รู้ว่าเล่มไหนน่าอ่านบ้าง ลองแวะไปที่ Rebook.in.th ก็ได้นะครับ

5. หาแรงบันดาลใจดีๆ 

สิ่งสุดท้ายที่ผมมักทำบ่อยๆ คือการหาพวกคลิปวีดีโอจากนักพูดดังๆ นักคิดเก่งๆ มาดูเพื่อศึกษาวิธีคิดและวิธีนำเสนอความคิดเหล่านั้น ตัวอย่างที่ดีมากคือวีดีโอใน TED ที่คุณดูทุกวันก็ยังยากที่จะดูหมด (ทุกวันนี้ผมจะดูเฉลี่ยอาทิตย์ละ 1 คลิป) ซึ่งใน TED เองก็มีการพูดเรื่อง Digital Marketing หรือ Social Media เยอะเหมือนกัน และก็เป็นวัตถุดิบให้คุณเอาไปคิดอะไรต่อได้อีกเยอะทีเดียว

นอกจากใน TED แล้ว ทุกวันนี้ยังมีพวก Speech หรือ Presentation อีกเยอะมากที่ถูกเผยแพร่บน YouTube และคุณควรหาเวลาสัก 10-20 นาทีต่ออาทิตย์นั่งดูให้เกิดแรงบันดาลใจอยู่สม่ำเสมอ

 

5 ข้อนี้อาจจะเป็นอะไรที่แปลกประหลาดอยู่เสียหน่อย แต่ส่วนตัวผมแล้ว ทั้ง 5 ข้อคือสิ่งที่ทำให้ผมก้าวมาถึงทุกวันนี้ มันเป็นวิธีที่แตกต่างจากคนทั่วๆ ไปที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันอยู่ไม่น้อย แต่ก็นั่นแหละครับ มันทำให้ผมแตกต่างและประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้

ลองทำดูแล้วได้ผลอย่างไร ก็มาเล่าสู่กันฟังได้นะครับ ^^

ภาพจาก: Mashable.com