การปรับตัวสู่ดิจิทัลไม่ใช่แค่การขายของออนไลน์
พอเราพูดถึงเรื่องยุคดิจิทัลและการปรับตัวของธุรกิจให้รับยุคนี้ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ในวงการ ถูกพูดถึงในงานสัมมนามากมายนั้น สิ่งที่เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆ คือเรื่องการเพิ่มช่องทางการขายของหรือที่มักจะพูดกันติดปากว่าต้องทำ E-Commerce (หรือที่เราเห็นแซวๆ กันตอนนายกไปบอกแม่ค้าให้ไปขายของออนไลน์นั่นแหละ)
เอาจริงๆ เรื่องของ “ช่องทาง” ของการขายมักเป็นสิ่งที่เห็นและจับต้องได้ง่ายพอๆ กับการโฆษณาและสื่อสารการตลาด จึงไม่แปลกที่คนมักมองว่าการทำ Digital Trasnformation ของธุรกิจนั้นคือการพาตัวเองไปสู่ E-Commerce กัน
และนั่นก็นำมาสู่สิ่งที่หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าบางสินค้าจะไปขายออนไลน์กันได้ยังไง เพราะบางธุรกิจนั้นเป็น B2B ธุรกิจบริการ (เช่นร้านนวด) หรือสินค้าไม่ใช่ประเภทที่ผู้บริโภคทั่วไปจะไปซื้อกันบนออนไลน์
ถ้าเรามองแค่ว่าการทำ Transformation คือการเพิ่มช่องทางการขายนั้น เราก็อาจจะตกหลุมนั้นได้อยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเราถอยออกมามองว่าการปรับตัวที่ว่านั้นไม่ใช่แค่เรื่องการขาย หากแต่เป็นการใช้เทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจของเราแล้วล่ะก็ มันก็อาจจะมองได้อีกมายเช่น
การเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย
กล่าวคือการใช้สื่อดิจิทัลมาเพิ่มโอกาสในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การเพิ่มช่องทางการสื่อสารไปยังจุดที่กลุ่มเป้าหมายเริ่มเปลี่ยนวิถีการสื่อสาร เช่นการหาข้อมูลผ่านเว็บไซตื การใช้ Search Engine เพื่อตรวจสอบข้อมูลต่างๆ การทำโฆษณาดิจิทัลที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำ ลดการใช้งบประมาณการสื่อสารการตลาดที่ไม่เกิดประสิทธิภาพ ฯลฯ
การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและให้บริการ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเครื่องจักรเข้ามาทำงานในฝ่ายการผลิต เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและลดความผิดพลาดต่างๆ หรือการสร้างระบบทำงานแบบ Autmoation เพื่อให้สามารถตอบสนองและดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง นั่นยังรวมไปถึงการเพิ่มเทคโนโลยีการผลิตเพื่อลดต้นทุนหลายๆ อย่าง เช่นเดียวกับการเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้มากขึ้น เช่นลดการใช้พนักงานแต่สามารถรับลูกค้าได้มากขึ้น
การอำนวยความสะดวกกับลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น
ประสบการณ์ของลูกค้าไม่ใช่แค่การหาหน้าร้าน หรือการดูโฆษณาเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังรวมไปถึงการติดต่อสื่อสาร เช่นต้องการคุยกับผู้ขาย ต้องการความช่วยเหลือหรือข้อเสนอแนะ ซึ่งเราก็จะเห็นว่าวันนี้หลายๆ ธุรกิจใช้เครื่องมือดิจิทัลมาช่วยเหลือเช่น LINE@ / Facebook Messenger เพิ่มไปจากการทำ Call Center แบบเดิม นั่นยังรวมไปถึงการบริหารข้อมูลลูกค้า การทำ CRM ต่างๆ ซึ่งการมีเทคโนโลยีเช่นซอฟท์แวร์ต่างๆ ก็สามารถทำให้เราบริหาข้อมูลเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นโดยใช้คนน้อยลง รวดเร็วขึ้น และซับซ้อนมากขึ้นได้
ที่ผมยกมานั้นเป็นเพียงแนวทางพื้นฐานที่เราเห็นว่าการใช้ “เทคโนโลยีดิจิทัล” เข้ามาปรับตัวธุรกิจนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของการทำ E-Commerce เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมีเรื่อง “หน้าบ้าน” และ “หลังบ้าน” มากมายที่เทคโนโลยีสามารถเข้ามาช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนเดิมๆ ที่อาจจะสิ้นเปลืองหรือไม่เกิดประโยชน์อย่างที่ควรจะเป็น
เพราะสุดท้ายธุรกิจจะอยู่รอดได้นั้น ก็เกิดจากการที่เรามีรายได้ กำไร มากพอที่จะคุ้มทุน และไม่ขาดทุน ฉะนั้นเราก็ต้องพยายามปรับตัวเพื่อให้เรายังรักษาสมดุลที่ว่านี้ไว้ให้ได้ ซึ่งบางครั้งเราอาจจะไม่ได้ขายเพิ่มขึ้น แต่ทำให้ต้นทุนต่ำลง เราก็จะยังสามารถอยู่ในธุรกิจต่อไปได้นั่นเองล่ะครับ
Comments