แง่คิดชีวิต 5 ข้อที่ผมฝากให้กับน้องๆ ที่มาสัมภาษณ์ฝึกงาน
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสสัมภาษณ์น้องๆ หลายคนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษาที่สมัครเข้าร่วมโครงการลองดีกับดีแทค ซึ่งส่วนตัวผมค่อนข้างสนุกกับการนั่งคุยกับน้องๆ อยู่พอสมควรทีเดียว
อย่างไรก็ตาม วิธีการสัมภาษณ์ของผมออกจะแปลกประหลาดเสียหน่อย หลายๆ คนจะมักบอกว่าผมถามคำถามไม่เยอะมาก แต่กลายเป็นผมได้เล่าและแชร์อะไรหลายๆ อย่างให้คนที่มาสัมภาษณ์ ซึ่งน้องๆ นิสิตนักศึกษากลุ่มนี้ก็ไม่ต่างกัน
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้มีโอกาสมาทำงานกับผม มันเลยทำให้ผมเลือกจะแชร์บางอย่างกับพวกเขา ส่วนหนึ่งก็เป็นแง่คิดบางอย่างที่ผมอยากฝากเขาไว้ในโอกาสที่ผมได้เจอกับพวกเขาแม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม
และด้านล่างนี้คือประเด็นที่ผมมักจะพูดกับพวกเขา
1. การโดนปฏิเสธไม่ใช่ความล้มเหลว
สำหรับหลายๆ คน การสัมภาษณ์งาน (หรือแม้แต่สัมภาษณ์เพื่อฝึกงาน) เป็นเรื่องที่น่ากลัวอยู่เหมือนกัน เพราะมันต้องมาพร้อมกับการลุ้นที่จะสมหวังหรือผิดหวัง และเอาเข้าจริงๆ โอกาสที่จะได้สมหวังนั้นก็ไม่ได้เยอะมากเท่าไร หลายๆ คนต้องพบกับความผิดหวังและทำให้ตัวเองรู้สึกว่าไม่มีค่า ไม่เก่ง และท้ออยู่พอสมควร
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว การถูกปฏิเสธหรือไม่ได้รับการคัดเลือกนั้นไม่ได้แปลว่าเราไม่มีคุณค่าแต่อย่างใด หากแต่มันยังไม่ใช่จังหวะหรือมีคนอื่นที่เหมาะสมกว่า สิ่งสำคัญที่เราควรคิดคืออย่างน้อยเราก็ได้รับโอกาสและถูกพิจารณาเบื้องต้นให้เข้าข่ายที่ถูกเรียกมาให้สัมภาษณ์แล้ว และการที่เราไม่ได้ก็ไม่ได้แปลว่าชีวิตของเราล้มเหลวเสียเมื่อไร ผมเองก็เคยผ่านช่วงสมัครงานหลายสิบบริษัทแล้วถูกปฏิเสธมาหมด ไม่ถูกเรียกสัมภาษณ์ ฯลฯ แน่นอนว่าหลายๆ ครั้งมันก็ทำให้เรารู้สึกแย่อยู่ แต่ถ้าเราเอาแต่คิดแบบนั้นก็จะทำให้เราหมดความมั่นใจเอาซึ่งก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ในทางกลับกันเราควรจะมุ่งมั่นและเลิกคิดถึงเรื่องถูกปฏิเสธไปเสีย เพราะข้างหน้ายังมีโอกาสอีกมากมายที่รอให้เราไปคว้า หากวันนี้ยังไม่ได้งานที่บริษัทนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้มีโอกาสกลับมาทำเสียเมื่อไร
เผลอๆ โอกาสที่เราจะได้หลังจากนี้อาจจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ
2. ความมั่นคงอยู่ที่ตัวเราเอง
หลายๆ คนมักมองหาความมั่นคงของชีวิตจากบริษัทที่ตัวเองทำงาน อยากหางานประจำกับบริษัทที่มีหลักประกันชีวิตได้ แต่สำหรับผมแล้ว ความคิดแบบนี้จะทำให้ตัวเราอยู่ในภาวะประมาทอยู่พอสมควร เพราะมันทำให้หลายๆ คนทำงานแบบไปเรื่อยๆ ไม่ได้ขวนขวายหรือพัฒนาตัวเอง ประมาณว่าทำงานในบริษัทที่ดีแล้ว ก็อยู่ไปเรื่อยๆ
จากประสบการณ์ของผมนั้น แม้แต่ในงานที่ดูมั่นคง บริษัทที่ดูดี มันก็เกิดอะไรที่ไม่คาดฝันได้เหมือนกัน เช่นการโยกย้ายตำแหน่ง หรือการปรับลดพนักงานโดยที่คนทั่วๆ ไปอาจจะไม่ได้ข่าวคราวมาก่อน สิ่งที่ผมมักบอกคนอื่นๆ อยู่เสมอคือการทำตัวเราให้พร้อมรับกับสถานการณ์เช่นเดียวกับสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองแทนที่จะหวังกับบริษัท
ที่กล่าวเช่นนี้เพราะถ้าเรามีความสามารถ มีทักษะที่ดีแล้ว เราก็สามารถขยับไปทำงานอื่นๆ ได้เสมอ และต่อให้เราต้องย้ายบริษัทหรือต้องออกจากงานกระทันหัน เราก็พร้อมจะหางานใหม่ๆ ได้โดยไม่ยาก ลองจินตนาการตัวเองที่สามารถเป็นคนที่หลายๆ บริษัทอยากได้ตัวมาร่วมงานด้วยประสบการณ์และความสามารถ ถ้าเราไปถึงจุดนั้นได้แล้ว เราก็จะมั่นคงมากขึ้นไปกว่าเดิมอีกเยอะ ผิดกับคนที่ทำงานตามระบบโดยไม่สามารถสร้างมูลค่าให้กับตัวเองได้ เมื่อเกิดอะไรขึ้นมากระทันหันก็ทำตัวไม่ถูก ปรับตัวไม่ได้ และแน่นอนว่าบริษัทก็สามารถหาใครมาทำงานแทนได้นั่นแหละ
3. อย่ารอโอกาส แต่จงสร้างโอกาส
หลายๆ คนเฝ้ารอโอกาส พอพบกับความผิดหวังก็เสียใจและรอหวังว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสใหม่เข้ามา แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่เรามักไม่มองกันคือหลายๆ ครั้งเราสร้างโอกาสได้ด้วยตัวเองเพียงแต่มันอาจจะเหนื่อยและต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
ผมเองก็ไม่ได้คนเรียนจบการตลาดหรือบริหารธุรกิจอะไร แต่สิ่งที่ผมเลือกใช้ชีวิตคือการเสริมความรู้และพัฒนาตัวเองเพื่อให้ตัวเองได้มีโอกาสกับเขา (เพราะถ้ารอมันก็คงมาไม่ถึงเป็นแน่) และนั่นทำให้ผมทุ่มเทกับการอ่านหนังสือ เติมความรู้ และฝึกตัวเองเรื่อยมา ผลลัพธ์คือการที่ทำให้ผมมีงานมากมายนอกเหนือจาก Resume ของผมซึ่งถ้าสมัครงานทั่วๆ ไปก็คงโดนปฏิเสธเป็นแน่ (หากดูจากวุฒิการศึกษา)
เรื่องของโอกาสเป็นสิ่งที่เราต้องมองให้มากกว่าแค่การเฝ้ารอ เพราะวันที่มันมาถึงเราอาจจะคว้ามันไม่ได้ถ้าเราไม่เตรียมตัวพร้อม ลองคิดว่าถ้าวันหนึ่งเราถูกเรียกสัมภาษณ์ขึ้นมา เราเตรียมพร้อมมากแค่ไหนที่จะไปสัมภาษณ์ เรามีอะไรที่พร้อมจะไปสร้างความประทับใจให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ไหม ถ้าวันหนึ่งเราได้มีโอกาสได้แสดงฝึมือแบบกระทันหัน เราพร้อมจะทำมันได้อย่างดีเยี่ยมหรือเปล่า
เรื่องนี้ผมชอบยกเรื่องราวของนักฟุตบอลว่าตัวสำรองถ้าจะมองว่าตัวเองเป็นสำรองวันยังค่ำก็คงฝึกแบบขอไปที ไม่กระตือรือร้น และโค้ชก็คงไม่เลือกให้ลงสนามเป็นแน่ แต่นักฟุตบอลหลายคนพยายามพัฒนาตัวเองให้เป็นตัวจริง และเมื่อได้รับโอกาสก็ทำได้ดีเยี่ยมจนครองตำแหน่งตัวจริงได้ คำถามคือเราอยากจะเป็นนักเตะแบบไหนกันล่ะ?
4. อย่าหยุดตามหาความฝัน
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมบอกกับน้องๆ อย่างจริงจังพอสมควร เพราะในวันที่เรายังมีพลัง เรายังมีความฝันนั้น เราควรใช้พลังในการไล่ล่าและตามหามันแทนที่จะปล่อยให้มันถูกหลงลืม แน่นอนว่าความฝันหลายอย่างอาจจะไม่ได้ถูกทำให้เป็นจริงในเร็ววัน แต่การที่เรายังคงจดจ่อและวิ่งตามมันอยู่ ในทุกๆ วันเราก็จะเข้าใกล้มันไปเรื่อยๆ นั่นเอง
การตามหาความฝันของตัวเองอาจจะฟังดูเป็นเรื่องเลื่อนลอยหรือดูเป็นไปไม่ได้กับหลายๆ คน แต่เอาจริงๆ แล้วคนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากก็เกิดจากการที่เข้ามีเป้าหมายในชีวิตให้วิ่งไปหา มันทำให้เขามีโฟกัสกับชีวิตว่าจะไปทางไหน จะเลือกเดินอย่างไร และทุกๆ ย่างก้าวของเขาก็เป็นการขยับตัวเองไปตามเส้นทางนั้นแหละ ซึ่งนั่นต่างไปจากคนที่ไม่รู้ทิศทางชีวิต ใช้เวลาไปเรื่อยๆ และสุดท้ายก็พบว่าตัวเองอยู่ในทางที่เวิ้งว้าง ไม่รู้จะไปไหนต่อ
5. ตั้งคำถามเสมอว่า “ทำไม”
หนึ่งในเคล็ดลับที่ผมบอกน้องๆ เรื่องการไปสู่ความสำเร็จคือการอย่าสนใจแต่ว่าเราจะทำอะไร แต่ให้ตั้งคำถามว่าเราทำมันไปทำไม สิ่งเหล่านี้มีขึ้นเพราะอะไร เพราะมันเป็นการสำรวจตัวเราให้เข้าใจอย่างถ่องแท้มากกว่าการแค่ทำตามใบสั่งไปเรื่อยๆ
เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในชีวิตที่เรามักจะถูกสอนว่าให้ทำอะไร ทฤษฏีคืออะไร แต่เราลืมที่จะลองสำรวจลงไปที่ “แก่นความคิด” จริงๆ ซึ่งถ้าเราเข้าใจมันแล้ว เราก็จะสามารถมองเห็นอะไรที่ต่างออกไป รวมทั้งความสามารถที่จะประยุกต์ความรู้เราไปใช้กับสิ่งต่างๆ ได้อีกมากมาย ผิดกับคนที่จดจ่อกับแค่วิธีการ ยึดติดกับเทคนิคจนกลายเป็นโซ่ตรวนล็อคตัวเองและไม่สามารถขยับตัวเองได้เมื่อเจอความเปลี่ยนแปลง
5 ข้อข้างต้นคือสิ่งที่ผมเลือกจะเล่าฝากน้องๆ ที่มาสัมภาษณ์กับผม เลยขอเอามาแบ่งปันกันเผื่อใครจะอยากส่งต่อให้กับน้องๆ คนอื่นๆ นะครับ ^^