จั่วหัวไว้น่ากลัวทีเดียว แต่เรื่องที่เขียนวันนี้ก็อาจจะน่ากลัวพอๆ กับหัวเรื่องนั่นแหละครับ พอดีวันก่อนเห็นน้องคนหนึ่งแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการนอนที่มีการจัดทำเป็น Infographic ขึ้นมา ซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจ เลยขอรวบรวมสถิติบางอย่างแล้วสรุปเป็นประเด็นเพื่อง่ายต่อการอ่าน หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกๆ คนนะครับ
- แม้ว่าเราจะรู้กันดีว่าเวลานอนที่เหมาะสมคือ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน แต่ในความเป็นจริงเรามักจะนอนกันเพียง 5-7 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น (อ้างอิงจากสถิติของชาวอเมริกัน)
- ถ้าคุณนอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อวัน คุณจะมีความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ตามมา เช่น มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 45% ที่จะเป็นโรคหัวใจ
- การอดหลับทำให้สมองส่วนต่างๆ ของคุณทำงานช้าลง หรือแม้กระทั่งหยุดทำงานไปเลย อาการที่จะเกิดขึ้นเช่น การพูดไม่ชัด (ส่งผลจากสมองส่วน Temporal Lobe) ขาดสมาธิ ขาดทักษะในการคิดสร้างสรรค์ (จากสมองส่วน Frontal Lobe) คิดวิเคราะห์หรือประมวลผลต่างๆ ช้าลง ไม่สามารถใช้ตรรกะในการตัดสินปัญหา (จากสมองส่วน Parietal Lobe)
- การอดนอนยังทำให้ร่างกายคุณหิวและต้องการอาหารที่มีรสเค็มและอาหารประเภทไขมัน
- การขับรถนานๆ โดยไม่ได้นอนพักจะให้ผลเหมือนกับการดื่มแอลกอฮอล เช่นการอดนอน 21 ชั่วโมงจะให้ผลทดสอบการขับขี่ที่เท่ากับคนขับที่ดื่มจนเมา
ฟังสถิติแล้วดูน่ากลัว ทีนี้มาดูเทคนิคที่จะทำให้คุณนอนหลับสนิทดูบ้าง
- ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การนอนคือ 22.00 – 6.00 (8 ชั่วโมง)
- พยายามนอนหลับและตื่นนอนในเวลาเดิมๆ โดยให้รักษาช่วงเวลาดังกล่าวไว้ไม่เกิน 60 นาที (เช่นจะเข้านอนเวลา 22.00-23.00 ตื่นนอนเวลา 8.00-9.00)
- ก่อนนอน 60 นาทีให้ทำการปิดสิ่งที่รบกวนหรือดึงความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เหลือเพียงการฟังเพลงหรืออ่านหนังสือ
- ก่อนนอน 90 นาทีให้ทำการอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลาย
จะว่าไปแล้ว ตอนที่ผมสถิตินี้ผมก็มานั่งทบทวนตัวเองด้วยการที่ผมเองนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นคนอดหลับอดนอนคนหนึ่ง ซึ่งจะว่าไป ผลกระทบที่เขาสรุปมานั้นก็มีส่วนจริงพอสมควร นั่นยังไม่นับถึงผลกระทบด้านอารมณ์ที่ถ้าอดนอนมากๆ แล้วอาจจะทำให้เราเครียดได้ง่าย หงุดหงิดเร็ว ฉุนเฉียว บ้างก็ทำให้เราไม่สามารถตั้งสติคิดงานอะไรได้นานๆ
แต่ผมก็เข้าใจมุมของการเป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่บ้าง เพราะทุกวันนี้งานของหลายๆ คนก็หนักใช่ย่อย บางคนต้องเอากลับมาทำงานที่บ้านกันถึงตีหนึ่งตีสอง (ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น) เอาเป็นว่ายังไงก็รักษาสุขภาพกันด้วยแล้วกันครับ อย่าหักโหมเกินไป สถิติก็ดูไว้เตือนใจและพยายามให้ดีที่สุดเพื่อจะไม่ให้ร่างกายเราพังไปก่อนนะครับ