top of page

เรียนรู้ Customer Journey แบบง่ายๆ ผ่าน Facebook Ad Objective

หนึ่งในเรื่องที่ผมมักพูดบ่อยๆ ว่าสำคัญมากๆ สำหรับการวางแผนการตลาด ก็คือเรื่องของการวางคอนเทนต์ต่างๆ ตาม Customer Journey เพราะโจทย์สำคัญของการตลาดคือการพาลูกค้าของเราให้เดินตามเส้นทางดังกล่าวตั้งแต่วันที่เขายังไม่รู้จักเราจนไปถึงวันที่เขาซื้อสินค้าของเรา

แน่นอนว่าถ้าเป็นคนสายการตลาดก็คงจะรู้จักเรื่อง Customer Journey กันอยู่แล้วเป็นแน่ (หรือบางคนอาจจะเรียกว่า Purchasing Funnel อะไรก็แล้วแต่) แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจและพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หลายคนก็อาจจะไม่คุ้นเคยสักเท่าไร

อย่างไรก็ตาม ถ้าเราดูตามสิ่งที่เราคุ้นเคยและใช้งานอยู่บ่อยๆ อย่าง Facebook Advertising Objective นั้น เราก็อาจจะคุ้นๆ เหมือนกันว่ามันเป็นการแบ่ง Objective เรียงตามแบบ Customer Journey อยู่เหมือนกัน และถ้าเราเข้าใจหลักการของแต่ละขั้นนั้น ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ดีเลยทีเดียว

3 Advertising Objective พื้นฐาน

Awareness: ให้คนรู้จักสินค้าของเรา

ถ้าจะว่ากันแบบทื่อๆ เลยนั้น ช่วงแรกของ Customer Journey คือการทำให้คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายนั้นรู้จักสินค้าของเรานั่นเอง ซึ่งมันก็มาจากปัญหาพื้นฐานที่หลายๆ ธุรกิจมักจะเจอคือคนไม่รู้จักสินค้าของเรา เลยต้องทำให้เขารู้จักกันเสียก่อน

แน่นอนว่าเป้าหมายของการสื่อสารการตลาด / โฆษณา หรือกิจกรรมใดๆ นั้นมุ่งหวังที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมาย “เห็น” “รู้จัก” “นึกถึง” และอย่างน้อยๆ ก็คือ “จำได้” เพื่อให้ธุรกิจมีโอกาสในการจะก้าวไปสู่ขั้นตอนที่สองของ Customer Journey นั่นเอง

และเมื่อพูดถึงบรรดาคอนเทนต์ที่จะใช้ในช่วงนี้นั้น ก็มักจะเป็นคอนเทนต์ประเภทที่กระตุ้นให้คนเห็นแล้วสนใจ เห็นแล้วอยากติดตาม หรืออย่างน้อยๆ ก็คือเห็นแล้วพอจะจดจำได้ว่าร้านนี้ขายไอ้นี่ ร้านนั้นขายไอ้นั่น

Consideration: เมื่อคนกำลังสนใจ

คิดกันแบบง่ายๆ คือลูกค้าหลายคนรู้จักร้านเรา ผ่านหน้าร้านเราบ่อยครั้งแล้ว และตอนนี้เขากำลังหยุดดู สนใจ หรืออาจจะอยากแวะเข้ามาในร้านของเราเพื่อดูอะไรเพิ่มเติม ขั้นตอนนี้ของ Customer Journey ก็คือเรื่องนี้นั่นเอง เพราะมันคือการเล่นกับช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายเริ่มให้ความสนใจ เปิดใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าของเรามากขึ้น

ด้วยเหตุนี้ โฆษณาที่ถูกยิงด้วย Ad Objective ของกลุ่ม Consideration นั่นจะมีความต่างจากกลุ่ม Awareness อยู่เสียหน่อย เพราะวัตถุประสงค์และกลุ่มคนที่คุยด้วยไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว เช่นเดียวกับคอนเทนต์ต่างๆ ที่เหมาะจะใช้กับการสื่อสารในช่วงนี้ก็มักจะเป็นการให้คอนเทนต์ที่มีรายละเอียดเพิ่มเติม ไม่ก็การเชิญชวนให้กลุ่มเป้าหมายนั้นอ่านเพิ่ม ดูต่อ เข้ามาในหน้าเว็บ ฝากข้อมูลไว้ ฯลฯ

Conversion: เมื่อคนกำลังตัดสินใจ

ช่วงนี้ก็ค่อนข้างชัดเจนตามชื่อ ก็คือการปิดการขายเมื่อกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในช่วงนี้นั้นมักจะเป็นคนที่มีแนวโน้มจะซื้อค่อนข้างมาก หน้าที่ของธุรกิจคือการโน้มน้าวและทำธุรกรรมกับพวกเขานั่นเอง

เข้าใจและนำไปใช้จริง

จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ตัว Advertising Objecitve ของ Facebook ก็เป็นการออกแบบอิงตามหลัก Customer Journey มาตราฐานซึ่งทำความเข้าใจกันได้ง่ายๆ เช่นเดียวกับคนลงโฆษณาก็สามารถนำไปประยุกต์ได้ต่อ ตัวอย่างเช่น

  1. ถ้าคนยังไม่รู้จักสินค้าของเรา ร้านเพิ่งเปิดใหม่ การทำโฆษณาโดยใช้ Advertising Objective เป็น Awareness ก็จะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้ดี

  2. สำหรับร้านที่มีคนมาดูมากระดับหนึ่งแล้ว อาจจะมองเรื่องการใช้ Advertising Objective เป็น Consideration เพื่อช่วยโน้มน้าวและดึงลูกค้าไปจุดที่จะปิดการขายได้ดีขึ้น เช่นหน้าเว็บไซต์ต่างๆ หรือเข้า Messenger เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ถึงกับเป็นท่าบังคับชนิดพลิกแพลงกันไม่ได้เลย เพราะหลายๆ ธุรกิจก็อาจจะสลับ Objective กัน หรือรวมสอง Objective ไว้ในตัวโฆษณาแคมเปญเดียวกันก็ได้เนื่องจากปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่นเรื่องของงบประมาณ เรื่องของระยะเวลาต่างๆ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องบอกว่าใช้ประสบการณ์และการทดลองของแต่ละธุรกิจเอง

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่เราควรจะเรียนรู้ในเรื่องนี้ คือการที่มองให้ออกว่าไม่ว่าจะเป็นการทำโฆษณา ทำกิจกรรมการตลาด ทำโปรโมชั่นอะไร มันก็ยังอยู่บนกรอบของสิ่งที่เรียกว่า Customer Journey ซึ่งเราก็ต้องรู้ว่า ณ ตอนนี้ลูกค้าของเราอยู่จุดไหน และเราควรจะทำอะไรไปเสนอเขานั่นเองล่ะครับ

Me_Potrait.jpg

Nuttaputch Wongreanthong

An experienced marketer with a passion for understanding and exploring the latest trends

  • Facebook
  • Twitter
  • LinkedIn
  • Instagram

Subscribe

Thanks for submitting!

bottom of page