Presentation ที่ดีอยู่ที่ Storytelling ไม่ใช่อยู่ที่ตัวโปรแกรมทำ Slide

จากประเด็นที่มีการพูดถึงว่าคนรุ่นเก่าใช้ Powerpoint ในขณะที่คนยุคใหม่ไปใช้ Canva กันจนเกิดการถกกันว่าแบบไหนดีกว่ากัน มีการพูดข้อดี-ข้อเสียทั้งแง่การปรับแต่ง ดีไซน์ การจัดวาง ความเร็ว ฯลฯ

เอาจริง ๆ แล้วถ้าว่ากันตามการใช้งานปัจจุบันนั้น ความสะดวกสบายในการทำพรีเซนต์นั้นมากกว่าแต่ก่อนเยอะ ไม่ว่าจะมี Template สำเร็จรูปให้ โปรแกรมสามารถปรับแต่งได้เยอะ ทำให้ดีไซน์ของพรีเซนต์ปัจจุบันดูสวยงามกว่าแต่ก่อนอยู่มากโข และนั่นเป็นการแก้ Pain Point ของหลายคนได้อย่างมากคือการไม่มีหัวดีไซน์ที่จะออกแบบพรีเซนต์ให้สวยงาม การเลือกใช้คู่สีและลวดลายให้ดูมืออาชีพ ซึ่งนั่นเป็นการช่วยอุดปัญหาที่โดนบ่นว่าพรีเซนต์ "เชย" ไปเรียบร้อย

แต่ปัญหาที่น่าจะเห็นออกมาชัดเพราะเรื่องความสวยงามถูกแก้ไปแล้วนั้น ก็คือเรื่องการการเล่าเรื่อง (Storytelling) ที่ผู้พรีเซนต์จะต้องเรียบเรียงและรู้ว่าควรพูดอะไรก่อนหลัง ต้องการพาผู้ฟังไปสู่อะไร

ในประสบการณ์ของผมที่ทั้งเป็นผู้นำเสนอ และเป็นผู้รับฟังนั้น สิ่งที่เจออยู่บ่อย ๆ คือตัวพรีเซนต์ทำเอาไว้ซะสวยแต่เนื้อหามีปัญหาเสียอย่างนั้น

ที่บอกว่าเนื้อหามีปัญหามีตั้งแต่การใส่เนื้อหาที่มากเกินจำเป็นจนทำให้สับสน หรือการเรียบลำดับของชุดข้อมูลต่าง ๆ ที่บางทีก็กระโดดไปมา ไม่ปะติปะต่อ หรือบางทีก็ขาด ๆ เกิน ๆ จนทำให้ไม่ชัดเจนว่าการนำเสนอนี้ต้องการอะไร หรือถ้าเป็นการนำเสนอเพื่อโน้นน้าวการตัดสินใจแล้วก็จะเจอปัญหาว่าขาดหลักการที่แข็งแรง ขาดข้อมูลสนับสนุนที่หนักแน่น เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้เอง เวลาที่ผมสอนเรื่อง Business Storytelling นั้นจึงต้องบอกผู้เรียนเสมอว่ามันไม่ใช่การเรียนเพื่อออกแบบ Slide ให้สวยงามแต่อย่างใด เช่นเดียวกับไม่ใช่การเขียนสคริปต์พรีเซนต์ให้ดูน่าสนใจ แต่คือการเรียนรู้กระบวนการถ่ายทอดข้อมูลและเล่าเรื่องราวให้ร้อยต่อกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล เชื่อมโยงกันจนบรรลุเป้าหมายในการสื่อสารให้ได้

เพราะเราต้องเข้าใจก่อนว่าสุดท้ายแล้วเป้าหมายของการนำเสนอนั้นไม่ใช่การโชว์ความสวยงามของ Slide แต่อย่างใด หากแต่คือการทำให้คนฟังสนใจ คล้อยตาม และเชื่อในสิ่งที่เรากำลังนำเสนอจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนั่นเอง

และนั่นเลยทำให้ทักษะเรื่อง Stoytelling จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญพร้อมกับการต่อยอดไปสู่การเล่าเรื่องในมิติต่าง ๆ ของธุรกิจเช่น Data Storytelling เป็นต้น