อย่าเอาแต่ “หมอบ” เวลาเจอปัญหา
เคยเจอกันไหมครับ? ประเภทมีเป้าหมายว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอดูรายละเอียดกันแล้วก็พบว่ามีปัญหาโน่นนี่ทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้ และสุดท้ายก็เลยบอกว่า งั้นไม่เอาดีกว่า ไม่ทำล่ะ
มันไม่แปลกอะไรหรอกครับ เพราะผมว่าเอาจริงๆ ในชีวิตของเราก็เจอสถานการณ์แบบนี้กันบ่อยเหมือนกัน
แต่สิ่งที่เราอาจจะต้องคิดกันดีๆ คือเราใช้โหมดของการ “หมอบ” บ่อยเกินจำเป็นไปหรือเปล่า?
ที่พูดอย่างนี้เพราะเมื่อเราเจอสถานการณ์จริงของการทำงานที่ต้องมีการทำอะไรใหม่ๆ ทำโปรเจคใหม่ คิดค้นอะไรใหม่ขึ้นมา สิ่งที่มักจะตามมาคือปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา (ก็แหงล่ะ การทำอะไรใหม่ที่ต่างไปจากเดิมก็ย่อมเจออะไรพวกนี้เป็นปรกติ) แต่เรื่องน่าคิดคือเมื่อเราเจอสิ่งที่เป็นอุปสรรคเหล่านี้ เราจะถอยหรือล้มเลิกแผนกันเลยไหม
สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับคนจำนวนมากเวลาเจอสถานการณ์นี้คือล้มเลิกแผนกันดีกว่า แค่ทำอะไรใหม่ๆ ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว ไหนจะงานที่เพิ่ม ภาระที่มากขึ้นกว่าเดิม แล้วยังจะต้องมาแก้ปัญหากันอีก กลับไปทำอะไรแบบเดิมๆ ดีกว่า
และนั่นก็เลยไม่แปลกที่หลายๆ คนใช้วิธี “หมอบ” ตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือแก้ปัญหาอะไรด้วยซ้ำ
จริงอยู่ที่ไม่ใช่ทุกปัญหาจะสามารถแก้ไขได้ (เพราะบางอย่างก็อยู่เหนืออำนาจของเราแบบสุดๆ) แต่มันก็ใช่ว่าเราจะทำอะไรไม่ได้เลยเสียเมื่อไร สิ่งที่เราควรจะลองคิดให้ดีเสียก่อนคือหากเราแก้ปัญหานี้ได้แล้ว มันจะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้ และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเป้าหมายที่สำเร็จนั้นยิ่งใหญ่จนทำให้ปัญหาที่เราเจอวันนี้เป็นเรื่องเล็กสุดๆ ไปเลยก็ได้ (และเอาจริงๆ ถ้าเรากลับไปมองจุดเปลี่ยนสำคัญๆ ชีวิตของเราเนี่ย มันก็จะเป็นแบบนี้กันอยู่เสมอแหละฮะ)
เวลาเจอสถานการณ์แบบนี้ ผมมักจะแนะนำอยู่บ่อยๆ ให้มองเห็นภาพรวมของเป้าหมายที่เรากำลังจะไป ความสำคัญของเป้าหมาย ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการบรรลุเป้าหมาย เพราะมันจะทำให้เรานึกออกว่าสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่สำคัญขนาดไหน แต่ถ้าเราไปพุ่งเป้ามองเห็นแต่ว่าจะมีปัญหาอะไรบ้าง ปัญหานี้จะกวนใจแค่ไหน จะวุ่นวายแค่ไหน มันก็มีแต่จะทำให้เรารู้สึกแต่ข้อเสียตามมาเต็มไปหมดจนไม่รู้สึกเลยว่าทำไปแล้วจะได้อะไร (ทั้งที่จริงๆ มีข้อดีอีกมากโขถ้าเราก้าวข้ามปัญหานี้ไปได้)
หลายๆ ปัญหา มันเหมือนกับก้อนหินที่มาขวางไว้ไม่ให้เราไปถึงเส้นชัย
คำถามคือเราจะหาวิธีก้าวข้ามก้อนหินเพื่อไปให้ถึงเส้นชัย หรือจะเดินกลับเพียงเพราะเห็นว่าทางตันล่ะ?
